Neil Armstrong
นีล อาร์มสตรอง
มนุษย์คนแรกผู้ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์
“
นี่คือก้าวเล็กๆของมนุษย์ผู้หนึ่งแต่เป็นก้าวกระโดดยิ่งใหญ่แห่งมนุษย์ชาติ ”
ประโยคคำพูดอันโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใกล้นี้คงไม่มีประโยคใดเกินคำพูดประโยคที่
นีล อาร์มสตรอง มนุษย์อวกาศคนแรกผู้เหยียบย่างลงบนพื้นผิวดวงจันทร์
หลังจากที่เหยียบย่างลงบนผิวดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จในวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๙
ถึงแม้ในทีมนักบินอวกาศที่ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจพิชิตดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จครั้งแรกของโลกในครั้งนั้น
ยังมีผู้ร่วมทีมอีก 2 คน คือ เอ็นวิน อัลดริน ( Edvin
Aldrin ) ซึ่งเป็นผู้ลงไปเหยียบบนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นคนที่ที่
2 กับไมเคิล คอลลินส์ ( Michael Collins ) ผู้คอยขับยานควบคุมโคจรอยู่เหนือพื้นผิวดวงจันทร์ก็ตาม
แต่ก้าวย่างแรกของ นีล อาร์มสตรอง ซึ่งเป็นผู้บังคับทีมนั้นถือเป็นก้าวแรกของมนุษย์ชาติอย่างแท้จริงเป็นก้าวแห่งประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นการเปิดประตูแห่งความหวังไปสู่เทคโนโลยีอวกาศต่างๆให้กระโดดก้าวใหญ่ๆไปสู่ก้าวที่สำคัญๆต่อไปในอนาคตตามคำกล่าวของ
นีล อาร์มสตรอง อย่างแท้จริง
และวงการอวกาศที่มีความก้าวหน้าอย่างมากมายในทุกวันนี้ก็สืบมาจากก้าวกระโดดก้าวนั้นเอง
ถึงแม้ภารกิจหลังจากเหยียบย่างลงบนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จแล้วนั้นจะไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการปักธงชาติสหรัฐอเมริกา
ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ถ่ายภาพและเก็บตัวอย่างดิน และ หินบนดวงจันทร์กลับมาวิเคราะห์
โดยใชเวลาปฏิบัติภารกิจบนดวงจันทร์ทั้งสิ้น ๒๑ ชั่วโมง ๓๖ นาที
แต่ภารกิจครั้งนั้นก็ถือว่าเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์โลกบทหนึ่งเฉกเช่นการค้นพบสิ่งสำคัญต่างๆในวงการวิทยาศาสตร์เพราะก่อนหน้านั้นมนุษย์ได้แต่เพียง
แหงน มอง
ขึ้นไปเพ่งมองดวงดาวต่างๆ และ ฝันถึงการได้เหยียบย่างลงบนดวงดาวต่างๆ
ที่ไม่ใช่โลก การที่ นีล อาร์มสตรอง และ ทีมของเขาสามารถจะเหยียบย่างลงบนดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จเช่นนี้
จึงมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มาก เสียยิ่งกว่าการค้นพบทวีปอเมริกาของ คริสโตเฟอร์
โคลัมมบัส ( Chistopher Columbus ) เสียอีก ถึงแม้บางคนอาจประมาทความสำคัญว่าเพียงแค่ภารกิจนำหิน และ
ดินกลับมาได้เท่านั้น
แต่หากไม่มีก้าวแรกอันยิ่งใหญ่ที่ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถพิชิตได้มาก่อนแล้วก็คงไม่มีผู้ติดตามไปหาคำตอบที่แท้จริงมาได้
และ ผู้ที่นำก้าวย่างแรกไปเหยียบย่างลงบนสิ่งที่มนุษย์เคยฝันมาชั่วนาตาปี
เช่นนี้ได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งๆที่ตนก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะต้องเผชิญกับอะไรที่รออยู่ข้างหน้าเช่นนี้
นีล อาร์มสตรอง
กับเพื่อนร่วมทีมทั้งสองจึงต้องถือว่าพวกเขาคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไปตลอดกาลของวงการวิทยาศาสตร์อวกาศ
นีล
อาร์มสตรองหรือชื่อเดิม นีล อัลเดน อาร์มสตรอง (Neil
Alden Armstrong) เกิดเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๓๐ที่เมื่องวาปาโกเนตา โอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
เป็นบุตรคนโตในบุตร ๓ คน ของ โคนิก อาร์มสตรอง (Koenig Armstrong ) กับ วิโอลา หลุยส์ เองเกล (
Viola Louise Engel )บิดาของเขาทำงานในคณะบริหารราชการของรัฐโอไฮโอแต่ก็ต้องย้ายที่ทำงาน
และ ที่อยู่ไปเรื่อยๆซึ้งทั้งครอบครัวก็ต้องติดตามไปด้วย ในช่วงวัยเด็กนั้น นีล
อาร์มสตรอง จึงตามย้ายบ้านตามพ่อแม่ไปตามเมืองต่างๆมากกว่า ๑๖ เมือง
เขาเริ่มต้นสนใจเรื่องเกี่ยวกับการบินมาตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ
หลังจากมีโอกาสนั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก จากนั้นมาก็จึงหาทางเข้าเรียนการบินจนกระทั่งในปี
ค.ศ. ๑๙๔๗ จึงได้สมหวัง
เมื่อเขาสามารถสอบเข้าเรียนวิชาช่างอวกาศได้ที่มหาวิทยาลัยเพอร์ดิว (
Purdue University ) ซึ่งก่อตั้งโดยนักธุรกิจในกิจการการบิน จอห์น
เพอร์ดิว ( John Purdue ) จากนั้นก็ศึกษาที่สถาบันเทคโนโลยี แมสซาชูเซตตส์(
Massachusetts Institute of Technology ) หรือ MIT ระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้นอาร์มสตรองได้ทดลองทำ “ อุโมงค์ลม ” สำหรับทดสอบกระแสลมอย่างที่สองพี่น้องตระกลูไรค์
( Wright Brothers ) ทำขึ้นขณะทดลองสร้างเครื่องบินเอาไว้ที่ห้องใต้ดินของบ้าน และ ทดลองทำเครื่องบินจำลองขึ้นเองเพื่อทำการศึกษาวิถีการบิน
หลังจากเข้าเรียนได้เพียง
๒ ปี นีล อาร์มสตรอง
ก็ต้องถูกเกณฑ์เข้าเป็นทหารโดยเข้ารับราชการอยู่ในกองทัพเรือ และ
เข้าฝึกบินเครื่องบินขับไล่
ในรุ่นของเขานั้นเขาถือเป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ที่มีอายุน้อยเพียง ๒๐ ปี
เท่านั้น ในช่วงระหว่างที่ นีล อาร์มสตรอง รับราชการอยู่ในกองทัพ เรือนี้
อยู่ในช่วงเวลาที่เกิดสงครามเกาหลีซึ่งสหรัฐอเมริกาเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยพอดี
เขาจึงต้องถูกส่งเข้าไปประจำอยู่ที่เกาหลี
โดยรับหน้าที่ขึ้นบินเครื่องบินขับไล่กระทำภารกิจสงครามเกาหลีถึง ๗๘
เที่ยวหลังสิ้นสุดสงครามเขาจึงได้รับเหรียญกล้าหาญเป็นบำเหน็จความชอบติดกลับมาด้วยจากปฎิบัติการในครั้งนั้น
และ เมื่อกลับจากสงคราม นีล อาร์มสตรอง ก็กลับเข้าไปเรียนต่อที่สถาบัน เพอร์ดิว
จนกระทั่งสำเร็จปริญญาในปี ค.ศ.
๑๙๕๕ และ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว อาร์มสตรอง
ก็ได้เข้าทำงานเป็นนักบินทดสอบเครื่องบินให้กับคณะกรรมการกิจการการบินแห่งชาติ (
National Advisory Committee for Aeronautics NACA ) ที่คลิฟแลนด์
โอไฮโอ
โดยได้รับหน้าที่ในการบินทดสอบเครื่องบินความเร็วสูงรุ่นใหม่ๆจำนวนมากที่ใช้ในการทหาร
ซึ่งการทดสอบของ นีล อาร์มสตรอง
ครั้งต่างๆนี้เป็นประโยชน์ในการนำไปใช้ผลิตเครื่องบินความเร็วเหนือเสียง หรือ
เครื่องบินหัวจรวด ต่างๆในเวลาต่อมา
ในช่วงเวลาที่ นีล
อาร์มสตรอง ทำงานให้กับ NACA นี้
ในระหว่างนั้นทาง NACA ได้มีการเริ่มต้นโครงการพัฒนายานอวกาศขึ้น
อาร์มสตรอง เป็น ๑ ใน ๓
นักบินที่ได้รับการคัดเลือกให้บินทดสอบเครื่องบินความเร็วสูงที่ถูกใช้เป็นเครื่องนำร่องในการศึกษาเทคโนโลยีที่ต่อมาได้นำมาใช้ในการผลิตยานอวกาศ
ซึ่ง นีล อาร์มสตรอง ก็เป้นผู้หนึ่งที่ได้ทดลองบินยานอวกาศรุ่นทดลองอีกด้วย อาร์มสตรอง
สามารถขึ้นบินได้ในระดับความสูงที่ ๒๐๗๕๐๐ ฟิต ในความเร็วที่ ๓,๙๘๙ ไมค์ต่อชั่วโมง
เป็นนักบินรุ่นแรกๆที่สามารถขึ้นบินได้ในระดับนี้ และ
จากการเป็นหนึ่งในทีมทดสอบการบินในโครงการอาร์มสตรอง
จึงได้รับการคัดเลือกให้เข้าอยู่ในโครงการฝึกการเป็นนักบินอวกาศอีกด้วย แต่ อาร์มสตรอง
กลับเลือกที่จะเป็นนักบินต่อ
เนื่องจากความรักในการบินที่ซึมอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่เด็กในขณะนั้นทางกองทัพอากาศสหรัฐได้มีโครงการสร้างเครื่องบินความเร็วเหนือเสียงรุ่นใหม่ขึ้นเรียกชื่อโครงการว่า
“ ไดนา – ซอร์ ” ( Dyna - sour
) ที่ต้องการสร้างเครื่องบินซึ่งสามารถบินได้ถึงในระดับความสูงเหนือชั้นบรรยากาศ
และ สามารถออกไปโคจรนอกชั้นบรรยากาศได้อีกด้วย โดยสามารถที่จะบินขึ้น และ
ร่อนลงสู่พื้นได้เช่นเดียวกันกับเครื่องบิน นีล อาร์มสตรอง สนใจในโครงการนี้ และ
ด้วยความที่ประสบการในด้านการบินเครื่องบินความเร็วสูงของเขาอยู่ในระดับแถวหน้าในจำนวนนักบินด้วยกันในขณะนั้น
เขาจึงได้รับการตอบรับเข้าร่วมในโครงการนี้โดยทันที
แต่ อาร์มสตรอง
ก็ร่วมอยู่ในโครงการโดย
ไดนาซอร์นี้เพียงไม่นานก็ได้ถูกทาบทามให้มารับการฝึกเป็นนักบินอวกาศในโครงการอวกาศอีกครั้งซึ่งในขณะนั้นทางกองอำนวยการ
การบิน และ อวกาศแห่งชาติ ( National Aeroneutics and Space
Administration NASA )กำลังดำเนินโครงการสำรวจอวกาศที่มีชื่อโครงการว่า
“ เจมินี ( Gemini ) ” อยู่ นีล อาร์มสตรอง ถือเป็นนักบินอวกาศที่เป็นพลเรือนคนแรกที่ได้เข้าร่วมฝึกเป็นนักบินอวกาศ
เพราะก่อนหน้านี้เขาลาออกจากกองทัพเรือไปแล้ว ก่อนที่จะไปทำงานด้านการบินในฐานะพลเรือนจึงไม่ได้มีตำแหน่งทางทหาร
และก่อนหน้านั้นเจ้าหน้าที่ทางการบิน หรือ นักบินอวกาศ ในโครงการอวกาศของ
NASA ก็ล้วนแต่มาจากบุคคลในกองทัพทั้งสิ้น เมื่อ อาร์มสตรอง
เข้ามาร่วมในโครงการ เจมินิ เขาได้ถูกวางตัวให้เป็นนักบินของโครงการ เจมินี ๕ (
Gemini 5 ) โดยอยู่ในตำแหน่งทีมสำรอง ซึ่งนักบินอวกาศในทีมจริงของ
เจมินี ๕ นั้นคือ กอร์ดอน คูเปอร์ ( Gordon Cooper ) อาร์มสตรองจึงไม่ได้ขึ้นบินจริงในเที่ยวบินนั้น
เขาได้รับตำแหน่งผู้บังคับการของทีมนักบินอวกาศทีมจริงครั้งแรกในโครงการ เจมินี ๘
ซึ่งขึ้นบินในเดือน มิถุนายน ปี ค.ศ.
๑๙๖๖ โครงการ เจมินี นี้ก็คือ โครงการศึกษาอวกาศ
เพื่อนำความรู้และเทคโนโลยีต่างๆที่ได้รับไปใช้พัฒนาโครงการอวกาศในขั้รต่อไป
ซึ่งโครงการที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากความรู้และประสบการณ์ของ เจมินี
ก็คือโครงการ “ อพอลโล ( Apollo ) ”
ที่เริ่มต้นขึ้นต่อเนื่องจากโครงการ เจมินี นี้โครงการ เจมินี รุ่นสุดท้ายก็คือ
เจมินี ๑๒ ( Gemini 12 ) ที่สิ้นสุดลงในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๖๖
ในเที่ยวบิน เจมินี
๘ ครั้งนั้น นีล อาร์มสตรอง
ก็ได้พบกับเหตุขัดข้องขึ้นในระหว่างที่ทำการทดสอบเชื่อมต่อตัวยานในเที่ยวบิน
เจมินี ๘ เที่ยวนั้น นีล อาร์มสตรอง ขึ้นบินกับนักบินผู้ช่วย คือ เดวิด สกอตต์ ( David Scott ) ในวันที่ ๑๖ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๖๖ ภารกิจครั้งนี้เป็นการทดสอบการเชื่อมต่อยาน
เจมินี ๘ เข้ากับยานไร้คนขับมีชื่อว่า อจีนา ( Agena ) ที่ถูกส่งออกไปโคจรอยู่นอกชั้นบรรยากาศโลกก่อนแล้ว
ภารกิจในขั้นตอนแรกๆนั้นประสบความสำเร็จด้วยดีแต่ต่อมาตัวยาน อจีนา
ก็เกิดปัญหาที่ศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินไม่สามารถควบคุมได้ทำให้การเชื่อมต่อตัวยาน
เจมินี ๘ เข้ากับยาน อจีนา จึงเกิดอุปสรรค์ และ เมื่อ นีล อาร์มสตรอง กับ เดวิด
สกอตต์ พยายามที่จะเชื่อมต่อให้สำเร็จนั้น ตัวยานก็เริ่มเกิดการม้วนตัว และ
หมุนตัว เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนทั้งสองต้องพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปตามความสามารถ
จนค่อยๆควบคุมยานได้และเชื่อมต่อตัวยานจนสำเร็จซึ่งความผิดพลาดก็ยังคงเกิดขึ้นอีกกับการร่อนลงสู่โลกของยาน
เจมินี อีกด้วย โดยแทนที่จะลงในมหาสมุทรแอตแลนติกตามเป้าหมายเดิม ยานของพวกเขากลับต้องลงในมหาสมุทรแปซิฟิกแทน
แต่ถึงแม้จะเกิดอุบัติเหตุขัดข้องขึ้น
ภารกิจครั้งนั้นก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จเพราะสามารถทำการเชื่อมต่อยานจนสำเร็จ
ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักของโครงการนี้ ภายหลังจากโครงการ เจมินี ๘ แล้ว นีล
อาร์มสตรอง ก็ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักบินอวกาศในโครงการ เจมินี ๑๑ อีกครั้ง
แต่ก็คงเป็นทีมสำรองของโครงการนั้นสาเหตุที่ อาร์มสตรอง ได้รับเลือกเป็นทีมสำรองใน
เจมินี ๑๑ ทั้งที่เคยเป็นทีมจริงมาแล้วใน เจมินี ๘
ก็เพราะทางโครงการต้องการให้เขาทำหน้าที่เป็นครูฝึกให้กับนักบินผู้ช่วย วิลเลียม
แอนเดอร์ส ( William Anders ) ที่จะได้รับการเลื่อนขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการบินในทีมต่อไป
แต่โครงการ เจมินี ก็สิ้นสุดลงในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๖๖ ด้วยโครงการ เจมินี ๑๒
เป็นโครงการสุดท้ายโดยโครงการต่อมาที่ทำการสานต่อภารกิจของเจมินี ก็คือโครงการ
อพอลโล แต่ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับโครงการ อพอลโล ๑ ( Apollo 1 ) ที่เกิดไฟไหม้ขึ้นที่ห้องนักบินจนทำให้นักบินอวกาศทั้ง ๓ คน คือ เวอร์จิล กริสซัม
( Virgil Grissom ) เอ็ดเวิร์ด ไวต์ ( Edward White )
กับ โรเจอร์ ชัฟฟี ( Roger Chaffee ) เสียชีวิตลงทั้งหมดในวันที่
๒๗ มกราคม ค.ศ. ๑๙๖๗
ระหว่างที่กำลังทำการทดสอบเครื่อง นับจากนั้นมาโครงการนี้ก็สะดุด
และไม่มีการส่งมนุษย์ขึ้นไปกับยานอวกาศอีกเลย จนกระทั่งถึงโครงการ อพอลโล ๗ (
Apollo 7 ) ในเดือน ตุลาคมปี ค.ศ. ๑๙๖๘ จึงได้ส่งมนุษย์ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจกับยาน อพอลโล
อีกครั้งจากเกิดโศกนาฏกรรมในครั้งนั้นแล้ว
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับ อพอลโล ๑
นั้นช็อคโลกเป็นอย่างมากโดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการอวกาศของสหรัฐอเมริกา
และ
ยิ่งนักบินอวกาศที่ต้องขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่กับยานอวกาศทุกคนด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดความช็อคกับเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอย่างมาก
นีล อาร์มสตรอง
ถึงกับนอนไม่หลับไปหลายวันและต้องย้อมใจด้วยวิสกีเพื่อดับอาการเครียดเกร็งของเขา
ในการฝึกครั้งหนึ่งของโครงการ อพอลโล นีล อาร์มสตรอง
ก็ประสบอุบัติเหตุอีกครั้งในระหว่างฝึกร่อนยานลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่ศูนย์ฝึกยานฝึกของเขาเกิดความบกพร่องขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้
เขาจึงต้องตัดสินใจดีดตัวออกจากตัวยานและใช้ร่มชูชีพทิ้งตัวลงมาได้ทันก่อนที่ยานจะกระแทกพื้นและเกิดระเบิดขึ้น
อาร์มสตรอง ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้บัญชาการทีมนักบินอวกาศของ อพอลโล ๑๑
ในเดือน มกราคม ปี ค.ศ. ๑๙๖๙ โดยมีผู้ร่วมทีมคือ เอ็ดวิน อัลดริน และไมเคิล คอลลินส์ ภารกิจของ
อพอลโล ๑๑ กำหนดทะยานขึ้นจากพื้นโลกที่แหลม เคนเนดี ( Cape Kennedy ) รัฐฟลอริดา ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น แหลมคานาเวอรอล (
Cape Canaveral ) แล้ว จรวด แซตแทอร์น ๕ ( Saturn 5 ) ซึ่งเป็นจรวดขับดันยานอพอลโลได้ทะยานขึ้นจากพื้นโลกในวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๙ จากนั้นยาน อพอลโล ก็ดีดตัวออกไปจากจรวดแซตเทิร์น
๕ เมื่อหลุดออกจากแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นผลสำเร็จ และ
เข้าถึงวงโคจรของดวงจันทร์ในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม โดยต้องโคจรอยู่รอบดวงจันทร์อยู่ ๒
รอบ จึงได้นำยานดวงจันทร์ หรือ ลูนาร์โมดูล ( Lunar Module ) ที่มีชื่อเรียกว่ายาน “ อีเกิล ( Eagle ) ” อันมี
อาร์มสตรอง กับ เอ็ดวิน อัลดริน อยู่ในยานดวงจันทร์ลำนี้ โดยมี ไมเคิล
คอลลินส์ คงทำหน้าที่ควบคุมยานแม่อยู่ ระหว่างที่ยานดวงจันทร์ อีเกิล
กำลังบ่ายหน้าเข้าสู่แรงดึงดูดของดวงจันทร์นั้นคอมพิวเตอร์ประจำยานก็เกิดขัดข้อง
แต่ด้วยการติดต่อสื่อสารกับศูนย์ควบคุมภาคพื้นดินที่บอสตันซึ่งยังคงทำงานตามปกติอยู่ทางศูนย์ควบคุมจึงเข้ามาสั่งการและควบคุมการร่อนลงบนดวงจันทร์แทน
เมื่อคอมพิวเตอร์มีปัญหา อาร์มสตรอง จึงต้องใช้การบังคับยานด้วยมือเพียงอย่างเดียว
ซึ่งการร่อนลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ก็ประสบความสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยในวันที่ ๒๐
กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๙ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๑๗ นาที ๔๐ วินาที
ของเวลาที่ศูนย์ควบคุมฮุสตันซึ่งภารกิจครั้งนั้นได้ถูกถ่ายทอดออกสู่สายตาคนทั่วโลก
และ คนทั้งโลกก็ได้ยินเสียงแรกของ นีล อาร์มสตรอง
ที่สือสารมาจากดวงจันทร์ลงมายังโลกด้วย ถ้อย คำว่า “ ฮุสตัน
การลงราบรื่นอินทรีย์ได้ถลาลงแล้ว ”
สำหรับก้าวเท้าแรกที่แตะลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ของ
นีล อาร์มสตรอง นั้นเขาแตะพื้นในเวลา ๒๒ นาฬิกา ๕๖ นาที และหลังจากที่ อาร์มสตรอง
ลงมายืนบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้โดยสมบูรณ์แล้วประโยคแรกที่เขากล่าวขึ้นบนดวงจันทร์ก็คือประโยคอันอมตะ
“ นี่คือก้าวเล็กๆของมนุษย์ผู้หนึ่งแต่เป็นก้าวกระโดดยิ่งใหญ่แห่งมนุษย์ชาติ ” นีล
อาร์มสตรอง และ เอ็ดวิน อัลดรินใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง
ย่าเท้าอยู่บนดวงจันทร์ และ ปฏิบัติภารกิจต่างๆ จนเสร็จสินตามแผน และ จบสิ้นภารกิจ
อาร์มสตรอง และ อัลดรินก็ขึ้นยานอีเกิล ขึ้นไปเชื่อมกับยานแม่ที่ คอลลินส์
คอยควบคุมอยู่ แล้วทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในสวนหัวของยานแม่
ซึ่งบบรจุยานลำเล็กอีกลำหนึ่งที่ทำหน้าที่ส่งพวเขากลับสู่พื้นโลก
ยานเล็กลำนี้มีชื่อเรียกว่ายาน “ โคลัมเบีย ( Columbia ) ” กลับลงสู่พื้นโลกในวันที่ ๒๔ กรกฎาคมโดยยานโคลัมเบียได้ตกลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
ตรงทิศตะวันตกเฉียงใต้ห่างจากเกาะฮาวายออกไป ๙๕๐ ไมล์ เมื่อเวลา ๒๔ นาฬิกา ๕๐ นาที
อันเป็นวิธีการกลับสู่พื้นโลกตามแผนปฏิบัติการที่มีอยู่ในช่วงเวลานั้น นี่คือ
ความสำเร็จก้าวใหญ่ที่สำคัญของมนุษยชาติซึ่งได้เปิดหน้าใหม่ให้กับประวัติศาสตร์แห่งวงการอวกาศทั้งมวลที่มนุษย์สามารถเดินไปถึงดาวดวงอื่นเป็นผลสำเร็จครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับล้านๆปีของโลกใบนี้
มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับปฏิบัติการบนดวงจันทร์ของ
นีล อาร์มสตรอง
ในครั้งนั้นอันทำให้เกิดข้อสงสัยต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปีเลยทีเดียว นั้นก็คือ อาร์มสตรอง
จะจากดวงจันทร์มาหลังจากภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น
เขาได้กล่าวถ้อยคำขึ้นมาประโยคหนึ่งผ่านวิทยุสือสารให้ได้ยินมาถึงพื้นโลกว่า “
ยินดีด้วยนะคุณ กอร์กี ” ข้อสงสัยในถ้อยคำๆนี้ของ อาร์มสตรอง
กลายเป็นข้อสงสัยมาอย่างยาวนานว่า เขาทักทายใครอยู่หรือ ?
ที่ต่อมาได้ถูกขยายกลายเป็นข้อสงสัยกันว่าการเดินทางสู่ดวงจันทร์ของ อพอลโล ๑๑
ครั้งนั้น เป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นมาหรือไม่ ? เป็นการหลอกลวงสายตาของผู้คนทั่วทั้งโลกหรือไม่
? นาซาจัดฉากเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาสามารถไปเหยียบดวงจันทร์ได้ก่อนรัสเซียหรือไม่
?
เรื่องนี้ยิ่งกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลายมากขึ้นเมื่อรายการทีวีของ ฟ็อกซ์
( Fox ) รายการหนึ่งได้ออกสารคดีพิเศษ เรื่อง
การจัดฉากครั้งนั้นโดยนำข้อสังเกตที่เกิดขึ้นในจุดต่างๆระหว่างที่ทีมของ
อาร์มสตรอง
กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่บนดวงจันทร์ออกมาตั้งข้อสงสัยจนมีผู้คนให้ความเชื่อถือเป็นอันมาก
และสิ่งหนึ่งที่ถูกนำมาใช้เป็นข้อสังเกตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงก็คือ ถ้อยคำที่
อาร์มสตรอง กล่าวว่า “ ยินดีด้วยนะ คุณ กอร์กี ” นั่นเอง ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาร์มสตรอง
อาจเผลอหลุดปากทักทายกับผู้กำกับเวที ที่มีชื่อว่า กอร์กี หรืออย่างไร ? ภายหลังที่ถ่ายทำเสร็จ จนกระทั่งให้หลังมานับสิบปีนั่นเองที่ อาร์มสตรอง
ได้ออกมาเฉลยในคำพูดปริศนาของเขา ในครั้งนั้นว่า
คำพูดของเขาในครั้งนั้นเป็นตลกร้ายที่เขานึกครึ้มใจกล่าวขึ้นมาอย่างนึกสนุก
โดยยืนยันว่าคุณ กอร์กี มีตัวตนจริง แต่เป็นคนข้างบ้านของเขาในวัยเด็ก
ในสมัยนั้นเขาเล่นเบสบอลกับน้องชายอยู่หน้าบ้านแล้วเผลอปาลูกบอลเข้าไปในบ้านของคุณ
กอร์กี เขาจึงต้องปีนเข้าไปเก็บ ซึ่งก็ทำให้เขาได้ยินสองสามีภรรยา กอร์กี โต้เถียงกันเมื่อคุณ
กอร์กี ต้องการให้ภรรยาของเขา ทำอะไรให้อย่างหนึ่ง
แต่ภรรยาของเขาก็ปฏิเสธอย่างเสียงแข็งและพูดกับสามีอย่างหัวเสียว่า “
รอให้เด็กข้างบ้านไปเหยียบดวงจันทร์ให้สำเร็จก่อนเถอะ ฉันจึงจะทำให้ ”
ซึ่งเด็กที่คุณนาย กอร์กี หมายถึงก็คือเขานั่นเอง จนเมื่ออาร์มสตรอง
สามารถเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จจริง
เขานึกสนุกขึ้นมาจึงได้กล่าวทักทายคุณกอร์กีออกไป
เพราะเชื่อว่าคนทั้งโลกกำลังชมการถ่ายทอดอยู่ซึ่งคุณ กอร์กี
ก็คงจะได้สมใจเพราะเขาสามารถขึ้นมาเหยียบดวงจันทร์ได้เป็นผลสำเร็จแล้ว
หลังจากสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการอวกาศเป็นผลสำเร็จแล้ว
นีล อาร์มสตรอง ก็ออกจากการเป็นนักบินอวกาศแต่ก็ยังคงทำงานให้กับ NASA ในโครงการวิจัยทางอวกาศอื่นๆต่อไป ในเดือนเมษายน
ปี ค.ศ. ๑๙๗๐ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกครั้งกับโครงการ อพอลโล ๑๓
ระหว่างโคจรอยู่เหนือดวงจันทร์แต่เกิดเหตุขัดข้องขึ้นกับยานจนนักบินอวกาศประจำ
อพอลโล ๑๓ เกือบจะเสียชีวิตลงไปทั้งหมดอีกครั้ง นีล อาร์มสตรอง
ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นคณะทำงานในการสอบสวนหาสาเหตุในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นด้วย
ซึ่งเขาเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อยที่ไม่เชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับ
อพอลโล ๑๓ นั้นเกิดขึ้นมาจากความบกพร่องในการออกแบบถังออกซิเจนที่รั่วซึมออกมาตามที่คณะกรรมการเสียงส่วนใหญ่สรุปออกมาเช่นนั้น
อันนำไปสู่การรื้อระบบการออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่ง อาร์มสตรอง
เห็นว่าไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนัก
แต่ความคิดเห็นของเขาก็ไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด
ถึงแม้
นีล อาร์มสตรอง จะได้สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่
จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกที่แม้แต่เด็กๆก็ยังรู้จักแล้ว
แต่เขาก็ไม่ได้อาศัยโอกาสของเขาในความเป็นคนดังในการแสวงประโยชน์ที่มักติดตามมาหลังจากมีชื่อเสียงแต่อย่างใด
เขาปฏิเสธโอกาสมากมายที่ไหลเข้ามาหาเขาโดยยังคงพอใจ กับชีวิตที่เรียบง่ายดังเดิม
หลังจากที่ได้ลาออกจาก NASA ในปี ค.ศ. ๑๙๗๑
แล้ว อาร์มสตรอง
ก็ย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมของเขาในรัฐโอไฮโอโดยเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย
ซินซิน นาติ ( University of Cincinnati ) โดยเป็นอาจารย์สอนในภาควิชาช่างอากาศ
อากาศยาน และยานอวกาศอยู่นานถึง ๗ ปี และยังสอนในมหาวิทยาลัย เพอร์ดิว
ที่เขาเคยเรียนอยู่ด้วยอีแห่งในภาควิชาเดียวกันจนถึงปี ค.ศ. ๑๙๗๙ อาร์มสตรอง
ก็เปลี่ยนงานหันไปทำธุรกิจ โดยเข้าเป็นคณะกรรมการบริหารให้กับบริษัท เกตส์
เลียร์เจ็ต ( Gates Learjet Corporation ) โดยที่ อาร์มสตรอง
ก็ยังไม่ยอมหยุดความคิดที่จะขึ้นทดสอบเครื่องบินความเร็วสูง
ที่บริษัทแห่งนี้เป็นผู้ผลิต
เขาจึงรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าทดสอบการบินของบริษัทเสียเอง นอกจากนี้ อาร์มสตรอง
ก็ยังได้รับตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารของอีกหลายบริษัท และยังเป็นที่ปรึกษากิตติมาศักดิ์ให้กับพิพิธภัณฑ์ทางอวกาศและอากาศยาน
ต่างๆอีกหลายแห่งโดยตลอดช่วงทศวรรษที่ ๘๐ อาร์มสตรอง
ก็ยังได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับโครงการอวกาศต่างๆของNASA อีกด้วย และเมื่อครั้งที่เกิดกรณีการระเบิดของยานกระสวยอวกาศ (
Space Shuttle ) แชลเลนเจอร์ ( Challenger )
ขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๘๖ ที่ทำให้นักบินอวกาศเสียชีวิตลงไปทั้งหมด ๗
คนอาร์มสตรองก็ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานคณะกรรมการสืบสวนหาสาเหตุการระเบิดของยาน
แชลเลนเจอร์ อีกด้วย
ในชีวิตส่วนตัวของ
นีลอาร์มสตรอง นั้นเขาแต่งงานสองครั้ง ครั้งแรกสมรสกับ ( Janet Shearon ) ในปีค.ศ. ๑๙๕๖ ทั้งสองหย่าขาดกันในปี
ค.ศ. ๑๙๙๔ มีบุตรชายและหญิง ด้วยกัน ๓ คน
แต่บุตรสาวเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังมีอายุไม่กี่ขวบ อาร์มสตรอง
สมรสอีกครั้งเป็นครั้งที่ ๒ กับ แครอล เฮล ไนต์ ( Carol Held Knight ) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๔ สำหรับในด้านรางวัลต่างๆและเกรียรติยศที่ นีล อาร์มสตรอง
ได้รับนั้นก็มีอยู่อย่างมากมายนับไม่ถ้วนเช่นกันแต่ที่สำคัญนั้นมีเช่น
เหรียญราลวัลเพื่ออิสรภาพจากปธานาธิบดี ( Presidential Medal of Freedom ) ซึ่งเป็นเหรียญรางวัลสูงสุดที่มอบให้แก่พลเรือนของสหรัฐอเมริกา
เหรียญเกียรติยศเพื่อกิจกรรมอวกาศจากรัฐสภา ( Congressional Space Medal of
Honor ) ที่รัฐสภาสหรัฐมอบให้แก่มนุษย์อวกาศรางวัล คอลลิเออร์ (
Collier Trophy ) จากสมาคมอากาศยานแห่งชาติ ( National
Aeronautic Association NAA ) และยังรางวัลจากองค์กร หรือ สมาคม
เกี่ยวกับการบินต่างๆอีกมากมาย รวมถึงการจารึกชื่อลงในหอเกียรติยศต่างๆอีกด้วย
นอกจากนี้ชื่อ “ อาร์มสตรอง ”
ของเขายังถูกนำไปใช้ตั้งชื่อหลุมบนดวงจันทร์แห่งหนึ่งห่างจากจุดที่ยาน
อีเกิล ที่ อาร์มสตรอง และ อัลดริน ร่อนลงไป ๓๑ ไมล์จากปฏิบัติการ อพอลโล ๑๑
ในครั้งนี้กับอุกาบาตรชิ้นหนึ่งที่ถูกตั้งชื่อว่า อาร์มสตรอง
เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาและยังชื่อของสถานที่หรืออาคารต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับเขาก็ยังได้นำชื่อของเขาไปตั้งเพื่อเป็นเกียรติอีกมากมายหลายแห่งด้วยเช่นกัน